สิ่งแวดล้อมตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า ” Environment” หมายถึงสิ่งต่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นรอบๆตัวเรา ทั้งที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมจับต้องได้ มองเห็นได้ และนามธรรมที่ไม่สามารถเห็นได้ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต
- สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ อากาศ พลังงาน เป็นต้น
- สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น อาคารบ้านเรือน รถยนต์ ถนน โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
2.สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต
- สิ่งมีชีวิตทั่วๆไป เช่น มนุษย์ สัตว์ พิษ รวมทั้งสิ่งมีชีวิต ต่างๆ ทั้งที่มองเห็นได้ และ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พิษภัยจากสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้น เช่น พิษจากไอเสียที่ปล่อยจากรถยนต์ หรือของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ สัตว์ ซึ่งอาจได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย โดยการหายใจ รับประทาน หรือ ทางผิวหนัง พิษภัยจากสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของคนมากที่สุด พอสรุปได้ดังนี้
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
1.จากการจราจร ในเมืองหลวงและตามเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ การจราจรมักจะหนาแน่น สิ่งที่ตามมาก็คือ ฝุ่นละออง หมอก หรือ ควันดำจากท่อไอเสียรถยนต์ ทำให้อากาศบริเวณนั้นมัวทึบ เมื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพของอากาศ จะพบว่าเต็มไปด้วยสารพิษ เช่น ตะกั่ว ก็าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก็าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ตะกั่ว
ในกระบวนการผลิตน้ำมันเบนซิน ทั้งชนิดธรรมดา และชนิดพิเศษ(ซุปเปอร์) นั้น ต้องเติมสารประกอบอินทรีย์ของตะกั่วด้วย เพื่อเพิ่มค่าออกเทนกันไม่ให้เครื่องยนต์กระตุก (Antiknock) แต่ตะกั่วเป็นสารพิษที่สะสมในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน
ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ก๊าซพิษเหล่านี้เป็นอันรายต่อมนุษย์มาก เกิดขึ้นได้เนื่องจากเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ และปล่อยออกมาทางท่อไอเสีย ปริมาณของก๊าซที่เกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพของเครื่องยนต์ เราจึงควรมั่นตรวจตราเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีอย่างสม่ำเสมอ
อาการพิษที่เกิดขึ้นจะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และ ทำให้เกิดอาการมึนงง ปวดศีรษะ หายใจไม่ออกเนื่องจากขาดออกซิเจน เป็นต้น
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
2.จากโรงงานอุตสาหกรรม สารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมมีมากมายหลายชนิด แตกต่างกันตามประเภทของอุตสาหกรรม ของเสียที่เหลือจากกระบวนการผลิต จะทั้งที่เป็นของแข็ง ของเหลว และ ก๊าซ แต่ทีมีผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ มากที่สุดก็คือ น้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยน้ำทิ้งนั้นยังไม่ได้ผ่านการกำจัดสารพิษออกก่อน ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย ปลาตาย ดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ สารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำทิ้งของโรงงานอุตสาหกรรมอาจแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทของอุตสาหกรรม ดังนี้
น้ำทิ้งจากอุตสาหกรรมอาหาร
สิ่งที่ปนเปื้อนในอุตสาหกรรมประเภทนี้ คือ เศษอาหาร คราบน้ำมัน จากการล้างเครื่องจักร ถึงแม้ว่าจะไม่มีพิษโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิต แต่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อแหล่งน้ำ เนื่องจากเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำเน่าเสีย ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง มีผลทำให้สัตว์น้ำตายเพราะขาดออกซิเจน
น้ำทิ้งจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ปัจจุบันการขยายตัวของอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทมากขึ้นตามลำดับ อันตรายจากน้ำทิ้งของอุตสาหกรรมนี้มีค่อนข้างมาก เนื่องจากสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำทิ้งส่วนใหญ่จะเป็นสารเคมีและน้ำมัน ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการการกำจัดสารพิษเป็นพิเศษ และแตกต่างจากอุตสาหกรรมประเภทแรก
น้ำทิ้งจากอุตสาหกรรมทั่วไป
เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ ทอผ้า ฟอกย้อม ชุบโลหะ หรือ ผลิตสี เป็นต้น น้ำทิ้งที่เกิดจากกระบวนการผลิตส่วนใหญ่จะปนเปื้อนด้วยโลหะตะกั่ว ปรอท โครเมี่ยม สารหนู ทองแดง แบเรียม ถ้าโลหะเหล่านี้แพร่กระจายสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ก็จะสะสมอยู่ได้เป็นเวลานานในแหล่งน้ำและสะสมอยู่ในสัตว์น้ำด้วย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะโลหะ ตะกั่ว ปรอท และสารหนู
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
3.จากการเกษตรกรรม การเกษตรกรรมในประเทศไทย มีการใช้สารเคมีกันอย่างแพร่หลาย เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ เช่น ใช้ในปริมาณที่มากเกินจำเป็น หรือ ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำการใช้ โดยเฉพาะสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทำให้เกิดอันตรายหรือพิษภัยต่อมนุษย์ได้ สารเคมีเหล่านี้บางชนิดไม่สลายตัวจะสะสมอยู่ในดิน หรือ แหล่งน้ำ สาธารณะเป็นเวลานานนับปี
สารเคมีใช้ในการเกษตรกรรม อาจแบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้เป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
ปุ๋ยเคมี
เป็นสิ่งจำเป็นมากในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืช เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม
ในการใช้จำเป็นต้องทราบรายละเอียดของวิธีใช้ ปริมาณ และระยะเวลาใช้ที่เหมาะสมและปฏิบัติตาม จึงจะมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ปริมาณของปุ๋ยทีใช้มากเกินไป ส่วนที่เหลืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นสารเคมีชนิดอื่น เช่น ไนเตรท หรือ แอมโมเนีย ซึ่งเป็นพิษต่อพืชและอาจก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ที่นิยมใช้ในหมู่เกษตรกรไทยคือ สารเคมีกำจัดแมลง สารเคมีกำจัดวัชพืช สารเคมีกำจัดเชื้อรา สารเคมีกำจัดหนู สารเคมีกำจัดหนอน และสารเคมีกำจัดไร อันตรายที่เกิดจากใช้สารเคมีประเภทนี้มากกว่าเมื่อเทียบกับปุ๋ยเคมี มีทั้งอันตรายที่เกิดแก่ผู้ใช้ ผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และอันตรายเนื่องจากใช้ในทางที่ผิด เช่น ฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุ หรือ ฆาตรกรรม ดังนั้น ในการใช้สารเคมีประเภทนี้ จึงควรอ่านฉลากวิธีใช้ตลอดจนการเก็บรักษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
4.จากชุมชน เมื่อกล่าวถึงมลพิษทางน้ำ (Water pollution) ทุกคนมักจะมุ่งเน้นไปที่โรงงานอุตสาหกรรมว่าเป็นแหล่งสำคัญที่เป็นต้นเหตุให้ดกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย แต่ในความเป็นจริงแล้ว สาเหตุสำคัญมาจากแหล่งชุมชนที่ปล่อยของเสียลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ เนื่องจากแหล่งชุมชนส่วนใหญ่ยังไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ดังนั้นของเสียหรือน้ำทิ้งจะระบายสู่แหล่งน้ำโดยตรง ทำให้คุณภาพของน้ำในแหล่งน้ำนั้นเสื่อมลง
สารเคมีที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคนในทุกระดับชั้น ทุกครัวเรือน คือ สารซักฟอก ซึ่งใช้เพื่อทำความสะอาดเอนกประสงค์ ตั้งแต่ภาชนะ ถ้วย ชาม เสื้อผ้า ตลอดจนอาคาร บ้านเรือน โดยมีคุณสมบัต้ทำให้เกิดฟองดึงเอาสิ่งสกปรกออกและป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกย้อนกลับเข้าไปใหม่
ปริมาณสารซักฟอกที่เหลือจากกิจกรรมทำความสะอาดต่างๆ เมื่อสะสมอยู่ในแหล่งน้ำเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติของน้ำ และมีผลโดยตรงต่อสัตว์น้ำด้วย โดยฟองที่เกิดขึ้นนอกจากจะทำให้เสียทัศนียภาพของแหล่งน้ำแล้ว ฟองยังเป็นตัวกั้นทำให้อากาศในน้ำลดลงทำให้น้ำเน่าเสียได้ ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการหายใจของสัตว์น้ำ ผลโดยตรงต่อปลาคือ ทำให้ปลาเคลื่อนไหวได้ช้า เสียการทรงตัว เหงือกถูกทำลาย เป็นต้น
ที่มา : webdb.dmsc.moph.go.th 29 พ.ย. 2553