ผู้เขียน หัวข้อ: บทเรียนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ซานติก้าผับ (อ่าน 2306 ครั้ง)

winai.d · « **เมื่อ:** ตุลาคม 06, 2011, 10:59:49 AM »

ผู้เขียน หรือ ผู้ให้สัมภาษณ์:
รศ. ดร.ธัญวัฒน์ โพธิศิริ
ปี:
2552
ฉบับที่:
01
ท่านผู้อ่านคงยังจำกันได้กับเหตุเพลงไหม้ที่ซานติก้าผับ เมื่อวันปีใหม่เมื่อช่วงต้นปี 2552 ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 66 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง นับเป็นความสูญเสียที่ทุกคนล้วนไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งหนทางหนึ่งคือการศึกษาบทเรียนจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรการความปลอดภัยสำหรับในอนาคต โดยหนึ่งในผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเหตุการณ์ในครั้งนี้คือ รศ. ดร.ธัญวัฒน์ โพธิศิริ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งวันนี้เราจะได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

ก่อนอื่นอยากทราบว่าอาจารย์ได้เข้าไปมีส่วนศึกษากรณีซานติก้าผับได้อย่างไร
“หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นทางสมาคมวิชาชีพ ได้แก่ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ว.ส.ท.) ได้รับการติดต่อเพื่อเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุ โดยคุณพิชญะ จันทรานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ว.ส.ท. ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อให้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในฐานะของนักวิชาการ เพื่อที่จะสามารถกระจายความรู้ และข้อมูลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับทราบ และให้เกิดความตระหนักขึ้นในเรื่องของความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ซึ่งผมคิดว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ”

และจากการเข้าไปตรวจสอบ อาจารย์คิดว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจากประเด็นใดในแง่ของทางด้านอาคารสถานที่
“ผมขอให้ความเห็นเป็นภาพกว้างโดยไม่จำกัดเฉพาะในกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญในเรื่องของความปลอดภัยด้านอัคคีภัยของอาคารอยู่หลายประเด็น ประเด็นหนึ่งคือเรื่องของการใช้อาคาร การใช้อาคารในปัจจุบันมีกฏหมายควบคุมอาคารที่เป็นกฏกระทรวงตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร โดยมีการกำหนดประเภทของอาคารตามลักษณะการใช้งานที่เกิดขึ้น อย่างกรณีของการใช้งานอาคารที่เป็นลักษณะของโรงมหรสพ ซึ่งก็คืออาคารที่มีการจัดการแสดงและเปิดให้สาธารณะชนเข้าชมการแสดงนั้น ตามกฏกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคารได้มีข้อกำหนดเรื่องความปลอดภัยด้านอัคคีภัยหลายประการ เนื่องจากในโรงมหรสพมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ขึ้นได้จากการใช้อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่มีโอกาสติดไฟได้ นอกจากนั้น ยังอาจมีจำนวนผู้ใช้อาคารเข้าไปใช้พื้นที่อย่างหนาแน่น กฏหมายจึงค่อนข้างเข้มงวดสำหรับอาคารลักษณะนี้เป็นพิเศษ แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์ปัจจุบันแล้วพบว่าอาคารที่เข้าข่ายน่าจะเป็นโรงมหรสพ หรือมีการใช้งานอาคารในลักษณะของสถานบันเทิงยังอาจมีการขออนุญาตใช้งานอาคารผิดประเภท ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมการปฏิบัติตามข้อกำหนดตามกฎหมายควบคุมอาคาร อย่างกรณีซานติก้าผมก็ไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายเป็นโรงมหรสพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตีความ อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่เฉพาะโรงมหรสพอย่างเดียวที่จะต้องเข้มงวด แต่รวมถึงอาคารสาธารณะอื่นๆ ที่มีการใช้อาคารหนาแน่นหรือมีการชุมนุมคน”

และจากข่าวสารที่ออกมา ปัญหาส่วนหนึ่งเห็นว่ามาจากการอพยพถ่ายเทคนออกจากสถานที่ อาจารย์มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
“ประเด็นของการอพยพคนออกมาจากอาคารอย่างปลอดภัยนั้น ในแง่ของการควบคุมเพลิงไหม้มีองค์ประกอบ 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1. Detection คือ การตรวจจับเหตุเพลิงไหม้

2. Suppression หรือการควบคุมเหตุเพลิงไหม้ไม่ให้ลุกลามมากขึ้น และ

3. Containment คือ การควบคุมไม่ให้เหตุเพลิงไหม้ลุกลามไปสู่บริเวณอื่นโดยอาศัยการกั้นแบ่งพื้นที่

ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 นี้มีวัตถุประสงค์ให้มีเวลาเพียงพอให้ผู้ใช้อาคารสามารถอพยพออกมาได้อย่างปลอดภัย”

“ในเรื่องของ Detection นั้น จากการสำรวจอาคารหลายแห่งยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเรื่องอุปกรณ์ตรวจจับ เช่น Smoke Detector ไม่ได้มีการติดตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน ในปัจจุบันได้เริ่มมีการตรวจสอบอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร โดยผู้ตรวจสอบอาคารจะเข้าไปตรวจสอบสภาพอาคารและลักษณะการใช้งานเพื่อให้คำแนะนำต่างๆ ในการช่วยเสริมให้อาคารนั้นมีความปลอดภัยด้านอัคคีภัยมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากอุปกรณ์ตรวจจับ ก็จะมีอุปกรณ์ในเรื่องของ Suppression เช่น ระบบหัวกระจายน้ำ หรือถังดับเพลิง อย่างกรณีของซานติก้า จากการตรวจสอบไม่พบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้และระบบหัวกระจายน้ำ ตรวจพบเพียงถังดับเพลิงจำนวน 3 ถังในที่เกิดเหตุ ส่วนในเรื่องของ Containment สำหรับการออกแบบอาคารที่เหมาะสมนั้น ควรมีการกั้นแบ่งพื้นที่ในบริเวณที่มีความเสี่ยงจากวัสดุติดไฟ หรือพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัย เช่น ทางหนีไฟ โดยอาศัยวัสดุทนไฟ แต่จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบวัสดุหลายชนิดที่ใช้ในซานติก้าเป็นวัสดุฉนวนกันเสียง รวมทั้งยังพบวัสดุตกแต่งเสาและผนังที่ปิดห่อหุ้มด้วยไฟเบอร์กลาสเรซินเป็นรูปคล้ายการก่ออิฐ วัสดุเหล่านี้มีคุณสมบัติสามารถการติดไฟได้ว่ายและลามไฟได้ดี และเมื่อติดไฟแล้วจะปล่อยปริมาณความร้อนออกมาสูง ส่งผลให้เกิดการลามไฟไปยังบริเวณข้างเคียง อย่างไรก็ตาม การกั้นแบ่งพื้นที่ในบริเวณอาคารที่เปิดโล่งนั้นทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องอาศัยการควบคุมการใช้วัสดุภายในอาคารเพื่อป้องกันการติดไฟและการลุกลามไฟ ในกรณีซานติก้า พบว่าระดับความร้อนในการเกิดเพลิงไหม้ค่อนข้างสูงในบางบริเวณ ซึ่งสังเกตจากโครงสร้างหลายจุดที่พังทลายลงมา ทั้งในส่วนโครงหลังคาเหล็ก และผนังคอนกรีตมวลเบา ซึ่งมีรอยแตกร้าวอย่างชัดเจนและมีการเปลี่ยนสี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระดับความร้อนที่สูง ซึ่งจากสภาพความเสียหายของวัสดุฉนวนและวัสดุตกแต่งภายในอาคารนั้น ระดับความรุนแรงของการเกิดเพลิงไหม้ น่าจะเป็นผลจากการใช้วัสดุที่ติดไฟได้ง่าย สามารถลามไฟได้อย่างต่อเนื่อง และปล่อยความร้อนออกมาในระดับสูง ทั้งนี้ ณ วันที่เข้าไปสังเกตการณ์นั้นยังไม่สามารถสรุปสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ได้ แต่มีการสันนิษฐานประเด็นเบื้องต้นไว้ เช่น การใช้อุปกรณ์ดอกไม้เพลิง ซึ่งในกรณีที่จุดดอกไม้เพลิงแล้วเกิดประกายไปสัมผัสกับวัสดุที่ติดไฟง่าย ก็มีโอกาสที่จะเกิดเพลิงไหม้ได้ นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้หลายอย่าง อย่างไฟฟ้าลัดวงจรก็เป็นได้ ถ้าเกิดในบริเวณที่อยู่ใกล้กับเชื้อเพลิง”

“เรื่องของการอพยพออกมาจากอาคารได้อย่างปลอดภัยนั้น นอกจากจะพิจารณาในแง่ของการควบคุมเพลิงไหม้แล้ว ยังต้องพิจารณาในแง่ของการอพยพของผู้ใช้อาคารด้วย ซึ่งตามหลักการ สามารถอาศัยการเปรียบเทียบเวลา 2 ค่า ได้แก่ Available Safe Egress Time (ASET) และ Required Safe Egress Time (RSET) ค่า ASET คือเวลาที่อาคารมีให้ผู้ใช้อาคารยังสามารถอยู่ในอาคารได้อย่างปลอดภัย กล่าวคือ ระยะเวลานับจากเริ่มเกิดเพลิงไหม้จนกระทั่งอาคารมีสภาพที่ผู้ใช้อาคารไม่สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย เช่น ระดับความร้อน ระดับความหนาแน่นของควัน หรือระดับก๊าซพิษสูงเกินไป ส่วนค่า RSET คือเวลาที่ผู้ใช้อาคารใช้ในการอพยพออกมาจากอาคารสู่บริเวณปลอดภัย โดยทั่วไปแล้วค่า ASET ขึ้นอยู่กับสภาพของอาคาร เช่น คุณสมบัติการติดไฟและการลุกไหม้ของวัสดุที่ใช้ในอาคาร ระดับความรุนแรงของเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ระดับก๊าซพิษที่เกิดขึ้น ลักษณะการเชื่อมต่อระหว่างตำแหน่งต้นเพลิงกับบริเวณอื่น การระบายอากาศ ระบบตรวจจับและควบคุมเพลิง เป็นต้น ส่วนค่าเวลา RSET ขึ้นอยู่กับจำนวนและขนาดของทางออก จำนวนผู้ใช้อาคาร ความสามารถในการมองเห็นและรับรู้ตำแหน่งทางออก เช่น กรณีไฟดับ หรือไม่มีป้ายแสดงสัญลักษณ์แสงสว่างที่บอกชัดเจนบริเวณทางออก จะส่งผลต่อเวลาที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถนำมาใช้ในการคำนวณเวลา ASET และ RSET ได้ โดยหลักการแล้วเราควรออกแบบอาคารให้ผู้ใช้อาคารสามารถอพยพออกมาจากอาคารได้อย่างปลอดภัย แต่ในบางอาคารไม่ได้เป็นเช่นนั้นจึงเกิดกรณีการสูญเสียชีวิต เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อค่าเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการอพยพออกจากอาคาร เช่น จำนวนทางออก ป้ายสัญลักษณ์แสดงทางออก อย่างกรณีซานติก้า ไม่พบป้ายสัญลักษณ์ทางหนีไฟ และจากคำบอกเล่าของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นหน่วยกู้ภัยนั้น ไฟฟ้าดับขณะเกิดเหตุ และในความมืดจะเห็นเฉพาะเปลวเพลิงที่ลุกโพลงในบริเวณต่างๆ ที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ บริเวณที่มีผู้เสียชีวิตอยู่เป็นจำนวนมากนั้นห่างจากทางออกไม่ถึง 5 เมตร ใกล้กับทางออกมาก แต่จากจุดนั้นมาถึงทางออกเป็นบันไดทางขึ้นที่ค่อนข้างแคบ และความสูงจำกัดในลักษณะของบันไดทางขึ้นสู่ชั้นลอย ส่งผลให้การหนีค่อนข้างลำบาก นอกจากนั้นจากคำบอกเล่าพบว่าใกล้กับบริเวณนั้นมีวัสดุตกแต่งเสาซึ่งลุกติดไฟค่อนข้างรุนแรง ซึ่งจากคำบอกเล่าดังกล่าว หากลองนึกพิจารณาเทียบกับตัวเองในสถานที่ซึ่งไฟดับ และไม่ทราบตำแหน่งของทางออก ก็ไม่น่าจะเลือกหนีในทางที่มีเพลิงลุกไหม้อยู่ แต่พยานที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่ามีพนักงานอยู่รายหนึ่งซึ่งทราบว่าบริเวณนั้นเป็นทางออกจึงสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจเพราะมีคนเสียชีวิตใกล้กับทางออกเป็นจำนวนมาก”

เราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
“ในฐานะที่ทุกคนมีโอกาสจะเข้าไปใช้อาคารได้หลายประเภท ก็ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าไปในอาคารที่ไม่คุ้นเคยจึงควรสำรวจตำแหน่งของทางออกและทางหนีไฟ และหากจำเป็นต้องเข้าไปอยู่บริเวณที่มีผู้ใช้อาคารหนาแน่นมาก เช่นในสถานบันเทิง อาจเลือกตำแหน่งที่ใกล้กับบริเวณทางออก และควรสำรวจด้วยว่าทางออกถูกล็อคหรือไม่ เพราะมีหลายกรณีที่เกิดขึ้นในอดีต ที่ทางหนีไฟถูกล็อคจากด้านนอก เนื่องจากผู้ประกอบการเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของทรัพย์สิน นอกจากนั้น ยังอาจหลีกเลี่ยงการใช้อาคารที่ไม่มีการติดตั้งระบบตรวจจับหรือระบบดับเพลิงที่เหมาะสม ระบบที่สามารถสังเกตได้ง่ายได้แก่ ระบบตรวจจับควัน ระบบหัวกระจายน้ำ สำหรับอาคารที่ไม่ได้มีการใช้งานหนาแน่นก็ไม่น่าเป็นปัญหามากนักเนื่องจากยังสามารถอพยพออกจากอาคารได้ง่ายในกรณีเกิดเหตุ แต่สำหรับอาคารที่มีการใช้งานหนาแน่น เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินก็อาจเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ”

ในส่วนของนโยบายมีมาตรการป้องกันได้อย่างไรบ้าง
“กรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องของกฏหมายควบคุมอาคารโดยตรง อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงข้อบังคับอาคารให้ทันสมัย ซึ่งจะครอบคลุมหลายประเด็น เช่น การควบคุมคุณสมบัติด้านการติดไฟและการลุกไหม้ของวัสดุที่ใช้ภายในอาคารประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติของวัสดุแล้ว ก็ควรมีห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือทดสอบเพียงพอเพื่อรองรับการทดสอบตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎหมายด้วย เพื่อสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของวัสดุที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีห้องปฏิบัติการสามารถรองรับการทดสอบคุณสมบัติด้านการติดไฟและการลุกไหม้ของวัสดุได้ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีการพิจารณาการลงทุนในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบเรื่องความปลอดภัยด้านอัคคีภัยคู่ขนานไปกับการออกข้อบังคับอาคารด้วย”

และข้อบังคับใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้ได้ใช้กรณีศึกษาของซานติก้าผับมาพิจารณาด้วยหรือไม่
“น่าจะมีเรื่องของการกำหนดจำนวนคนต่อการใช้พื้นที่อาคาร การพิจารณาทางออก การควบคุมการใช้วัสดุในอาคาร สำหรับอาคารประเภทต่างๆ”

ในทางด้านวิชาการเราหาทางศึกษาป้องกันได้อย่างไรบ้าง
“ในประเทศไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัย ซึ่งปัจจุบันยังมีเครื่องมือทดสอบและงบประมาณค่อนข้างจำกัด”

“ศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัยได้ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในการจัดโครงการอบรมผู้ตรวจสอบอาคาร โดยมี รศ. นท. ไตรวัฒน์ วิรยศิริ เป็นหัวหน้าโครงการ และขณะนี้กำลังจัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ความรู้จากกรณีศึกษาซานติก้า โดยมีการนำเสนอข้อมูลและความรู้เรื่องความปลอดภัยด้านอัคคีภัยของอาคาร ที่บริเวณคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์”

และท้ายนี้อาจารย์อยากจะฝากอะไรให้กับผู้อ่านช่างพูดบ้าง
“ในฐานะผู้ใช้อาคาร เรามีความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติภัยได้ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงควรเตรียมความพร้อมของตนเองในการปฏิบัติตนในกรณีฉุกเฉิน เช่น การใช้ถังดับเพลิง การอพยพออกจากอาคารอย่างเหมาะสมโดยใช้ทางหนีไฟ หรือในกรณีที่จำเป็นต้องเข้าใช้อาคารที่ไม่คุ้นเคย เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณฉุกเฉิน ไม่ควรประมาท ให้พึงระวังตลอดเวลา”

“สำหรับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการเผยแพร่ความรู้ และสร้างความตระหนักในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้อาคาร โดยจะมีการจัดอบรมเรื่องความปลอดภัยด้านอัคคีภัยของอาคาร การซ้อมหนีไฟ ฯลฯ ที่ผ่านมา ผมได้ทำการทดสอบซ้อมหนีไฟสำหรับอาคารวิศวกรรมโยธา โดยได้สร้างแบบจำลองในการคำนวณเวลาที่ใช้อพยพหนีเปรียบเทียบกับเวลาที่ใช้จริง ทั้งนี้ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่การสร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัยด้านอัคคีภัย และการเตรียมความพร้อมของผู้ใช้อาคารเพื่อฝึกฝนการปฏิบัติตนที่เหมาะสมเมื่อเกิดเหตุ สิ่งเหล่านี้น่าจะช่วยลดความเสี่ยงได้มากยิ่งขึ้น”

winai.d

ไฟโหมรับปีใหม่ "ซานติก้าผับ" ย่านเอกมัย เหตุเอฟเฟคพลุผิดคิวระเบิดแรงเกินไปสะเก็ดไฟลุกไหม้ติดฝ้าเพดานที่เป็นเชื้อเพลิง นักเที่ยวนับพันหนีตายอลหม่าน อีกกว่าครึ่งร้อยหนีออกไม่ทันไฟคลอกตายสยอง ต่อหน้านักผจญเพลิงที่พยายามช่วยเต็มที่

วันนี้(1 ม.ค.)เมื่อเวลา 00.20 น. ร.ต.ท.สุทิน พงศ์คำพรรณ ร้อยเวร สน.ทองหล่อรับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้สถานบันเทิงซานติก้าผับ ตั้งอยู่เลขที่ 235/11ซอยเอกมัย 9 - 11 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น จากนั้นจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.โชคชัย ดีประเสริฐวิทย์ ผบก.น.5 พ.ต.อ.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ทองหล่อ พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.น.5 และประสานเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย พร้อมรถดับเพลิงขนาดใหญ่ประมาณ 10 คัน หน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญู แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ

ที่เกิดเหตุภายในผับดังกล่าวเป็นอาคารเดี่ยวในพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตรปลูกอยู่ในพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ ยกระดับ 3 ชั้น เป็นชั้น 1 ชั้น 2 และชั้นใต้ดิน ภายในอาคารเกิดเพลิงโหมลุกไหม้อย่างหนักและสะเก็ดไฟยังตกลงมาสู่พื้นอย่างรวดเร็วทำให้นักเที่ยวถูกไฟลวกตามร่างกายจำนวนมาก นักเที่ยวที่อยู่ด้านในประมาณ 1,000 คน ต่างวิ่งหนีตายกันออกมาด้านนอกอย่างอลหม่าน แต่ยังมีบางส่วนไม่สามารถหนีเปลวเพลิงออกมาได้ ถูกไฟคลอกและขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่พยายามช่วยอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากเพลิงที่โหมลุกไหม้อย่างหนัก ประกอบกับอาคารที่ถูกความร้อนอย่างหนักจนเกิดการทรุดตัว ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น จนผู้ที่ติดอยู่ด้านในที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ถูกไฟคลอกตายอยู่ด้านหน้าทางออก เป็นที่น่าอนาถอย่างมาก อีกทั้งแม้ประตูทางออกมีถึง 5 ประตูแต่เนื่องจากนักเที่ยวบางส่วนไม่ทราบและพยายามแย่งกันออกทางประตูด้านหน้าจึงทำให้เหยียบกันตายอยู่ด้านหน้าประตูทางออกอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ทราบว่ามีผู้บาดเจ็บที่หนีตายออกมาได้ก่อนซึ่งส่วนใหญ่จะถูกไฟลวกตามร่างการถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ในละแวกใกล้เคียงอีกจำนวนมาก

ส่วนด้านใน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่เนื่องจากอาคารดังกล่าวถูกความร้อนอย่างหนักจนเพดานเกิดการทรุดตัว เจ้าหน้าที่จึงต้องฉีดน้ำเลี้ยงเพื่อระบายควันและบายความร้อน ก่อนรอจนแน่ใจว่าอาคารจะไม่ทรุดตัวลงมาจึงเข้าดำเนินการตรวจสอบด้านใน และลำเลียงผู้เสียชีวิต ออกมาได้ทั้งสิ้น 53 ศพ และตรวจสอบนักท่องเที่ยวที่อาจตกค้างอยู่ภายใน ซึ่งการทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบากและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเนื่องจากเกรงว่าอาคารจะทรุดตัวลงมาอีก

จากการสอบสวน นายสมชาย เฟรนดี้ อายุ 28 ปี นักเที่ยวที่มาฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ซานติก้าผับ กล่าวว่า ตนมาเที่ยวที่ซานติก้า ผับ ก่อนเกิดเหตุทางร้านมีการจัดพลุเอฟเฟค ไว้ที่บริเวณด้านหน้าเวทีเพื่อจุดฉลองหลังจากที่มีการเคาท์ดาวน์แล้ว โดยเมื่อเคาท์ดาวน์เสร็จทางร้านได้จุดพลุดังกล่าว แต่พลุเกิดระเบิดรุนแรงกว่าจนลุกลามไปติดยังฝ้าเพดานที่หุ้มด้วยฟองน้ำเก็บเสียงซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับจังหวะนั้นมีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ ผู้ที่มาเที่ยวจึงเกิดการแตกฮือพยายามยื้อแย่งกันออกมาภายนอก อีกทั้งนักเที่ยวที่อยู่บนชั้น 2 นั้น จะไม่มีทางออกต้องวิ่งแย่งกันลงมาด้านล่างเพื่อออกทางประตูทำให้เกิดเหตุสลดดังกล่าวขึ้น

ด้าน พล.ต.ต.โชคชัย กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหาย และระบุตัวผู้กระทำผิดได้ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนผู้ที่เสียชีวิตเบื้องต้นได้รับรายงานว่า เกิดจากไฟคลอก สำลักควันและเหยียบกันเองขณะที่แย่งกันออกจากที่เกิดเหตุ ซึ่งส่วนนี้ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนกระจายออกไปสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล และสอบปากคำพยานแวดล้อม หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะเรียกตัวมาแจ้งข้อหา และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ส่วนผู้เสียชีวิตนั้นประสานให้มูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ และมีการตั้งศูนย์รับแจ้งผู้สูญหายเพื่อประสานในการตรวจสอบผู้เสียชีวิต รวมถึงทรัพย์สิน โดยผู้ใดที่จะตรวจสอบว่าเพื่อน หรือญาติพี่น้อง อยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่สามารถแจ้งได้ที่ สน.ทองหล่อ

ต่อมาทราบว่ามีผู้บาดเจ็บที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลเสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ราย ซึ่งรวมผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 59 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 212 คน